วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558
เรื่องเล็บ … เรื่องเล็ก
หลายคนมีปัญหากับการทาเล็บ เรียกได้ว่าอยากสวยต้องยอมเสียเงินเข้าร้านทำเล็บแพง ๆ ไม่กล้าที่จะแต่งเล็บทาเล็บด้วยตัวเอง แต่อันที่จริงแล้ว การทาเล็บเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ... เพียงแค่ต้องมีเทคนิคการทาเล็บสักเล็กน้อยค่ะ จะง่ายแค่ไหน มาดูกันเลย !
เทคนิคการทาเล็บ
บีบน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูลงในอ่างน้ำ ทิ้งไว้สักพัก แล้วนำมือลงไปแช่ จะช่วยให้เล็บอ่อนนุ่มขึ้น
ใช้น้ำยารองพื้นทาเล็บในชั้นแรก เพื่อเป็นการดูแลเล็บขั้นต้น เพราะหากเราทาเล็บสีจัด จะทำให้เล็บเหลืองได้
การลงสีทาเล็บ ไม่ควรป้ายเกิน 3 ครั้ง เพราะสีจะจับเป็นก้อนไม่เรียบเสมอกัน และอย่าลงสีเล็บเกิน 2 ชั้นเพราะจะดูหนาจนเกินไป
หลังจากลงสีทาเล็บเรียบร้อยแล้ว ควรปิดท้ายด้วยการทาน้ำยาเคลือบเล็บ เพราะจะช่วยเพิ่ม ความเงางาม วิบวับให้กับเล็บ และยังป้องกันสีเล็บจางจากแสงแดดได้
การเก็บน้ำยาทาเล็บที่ดีให้อยู่กับเราได้นาน ๆ จะต้องปิดฝาให้สนิทและเก็บไว้ในที่เย็น ห่างไกลแสงแดด อย่างเช่น ช่องเล็กในตู้เย็น การเลือกยาทาเล็บ ควรดูส่วนผสมด้วย นั่นคือ ยาทาเล็บที่ดีไม่ควรมีแอลกอฮอล์เพราะว่าแอลกอฮอล์จะเป็นตัวทำให้ผิวเล็บแห้งและเปราะง่าย
การเลือกสียาทาเล็บให้เหมาะกับสีผิว
สาวผิวขาวอมเหลือง : เหมาะกับยาทาเล็บสีชมพูอมส้ม สีน้ำตาลทองสว่าง หรือสีสด ๆ
สาวผิวขาวอมชมพู : เหมาะกับยาทาเล็บสีชมพูอมน้ำตาล สีชมพูอมม่วง หรือสีโทนเย็น
สาวผิวคล้ำอมเหลือง : เหมาะกับยาทาเล็บสีน้ำตาลทองเข้ม สีแดงสดหรือสีทอง
สาวผิวคล้ำหรือดำแดง : เหมาะกับยาทาเล็บสีแดงเข้ม สีชมพู
หลายคนมีปัญหากับการทาเล็บ เรียกได้ว่าอยากสวยต้องยอมเสียเงินเข้าร้านทำเล็บแพง ๆ ไม่กล้าที่จะแต่งเล็บทาเล็บด้วยตัวเอง แต่อันที่จริงแล้ว การทาเล็บเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ... เพียงแค่ต้องมีเทคนิคการทาเล็บสักเล็กน้อยค่ะ จะง่ายแค่ไหน มาดูกันเลย !
บีบน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูลงในอ่างน้ำ ทิ้งไว้สักพัก แล้วนำมือลงไปแช่ จะช่วยให้เล็บอ่อนนุ่มขึ้น
ใช้น้ำยารองพื้นทาเล็บในชั้นแรก เพื่อเป็นการดูแลเล็บขั้นต้น เพราะหากเราทาเล็บสีจัด จะทำให้เล็บเหลืองได้
การลงสีทาเล็บ ไม่ควรป้ายเกิน 3 ครั้ง เพราะสีจะจับเป็นก้อนไม่เรียบเสมอกัน และอย่าลงสีเล็บเกิน 2 ชั้นเพราะจะดูหนาจนเกินไป
หลังจากลงสีทาเล็บเรียบร้อยแล้ว ควรปิดท้ายด้วยการทาน้ำยาเคลือบเล็บ เพราะจะช่วยเพิ่ม ความเงางาม วิบวับให้กับเล็บ และยังป้องกันสีเล็บจางจากแสงแดดได้

การเก็บน้ำยาทาเล็บที่ดีให้อยู่กับเราได้นาน ๆ จะต้องปิดฝาให้สนิทและเก็บไว้ในที่เย็น ห่างไกลแสงแดด อย่างเช่น ช่องเล็กในตู้เย็น การเลือกยาทาเล็บ ควรดูส่วนผสมด้วย นั่นคือ ยาทาเล็บที่ดีไม่ควรมีแอลกอฮอล์เพราะว่าแอลกอฮอล์จะเป็นตัวทำให้ผิวเล็บแห้งและเปราะง่าย
การเลือกสียาทาเล็บให้เหมาะกับสีผิว
สาวผิวขาวอมเหลือง : เหมาะกับยาทาเล็บสีชมพูอมส้ม สีน้ำตาลทองสว่าง หรือสีสด ๆ
สาวผิวขาวอมชมพู : เหมาะกับยาทาเล็บสีชมพูอมน้ำตาล สีชมพูอมม่วง หรือสีโทนเย็น
สาวผิวคล้ำอมเหลือง : เหมาะกับยาทาเล็บสีน้ำตาลทองเข้ม สีแดงสดหรือสีทอง
สาวผิวคล้ำหรือดำแดง : เหมาะกับยาทาเล็บสีแดงเข้ม สีชมพู
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558
สระผมให้สวยงาม |
ผมที่สลวยสวยงามนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่สาวๆ เราคงให้ความใส่ใจกันทุกๆ คน อย่างไรก็ตามถ้าถามกันจริงๆ ว่าการสระผมที่ดีที่ถูกต้องนั้นจะต้องทำอย่างไร เชื่อเลยว่ามีสาวๆ อีกหลายคนมากที่อาจจะตอบได้ไม่ถูกต้องชัดเจนนัก บางคนที่เป็นขาลุยหน่อยอาจจะตอบเหมือนหนุ่มๆ บางคนเลยก็ได้คือ แค่ทำศีรษะให้เปียก เอาแชมพูใส่เข้าไป ขยี้ๆ มีฟอง แล้วล้างออกจนหมดฟองก็เป็นอันจบเรื่อง โอ้ว...
ไหนๆ ก็เป็นแฟนผู้อ่านเว็บไซต์ Womanandkid กันแล้ว การจะสระผมแบบหนุ่มขาลุยต่อไปก็คงจะเสียโอกาสแห่งความสวยไป ลองดูวิธีการสระผมที่ถูกต้องกันดีกว่า ว่าทำอย่างไรให้ใกล้เคียงการไปสระผมตามร้านทำผมทั้งหลาย ถึงจะไม่เหมือนก็เอาเป็นว่าใกล้เคียงก็ยังดี รับรองว่าไม่ยากเลยล่ะค่ะ
1. รู้จักผมของเรา
เส้นผมของเรานั้นแตกต่างกันในแต่ละคน สิ่งแรกที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือลักษณะของเส้นผมว่าเป็นผมแห้ง หรือเป็นคนผมมัน ต่อจากนั้นก็คือสภาพของเส้นผมว่าได้รับการทำสี ดัด ย้อม มาหรือไม่แค่ไหน การเลือกแชมพูจะต้องเลือกให้เหมาะกับเส้นผมของเราว่าผมแห้งหรือมัน หรือแตกปลายต้องการการบำรุง ถ้าเราทำสีผมมาก็จะต้องเลือกแชมพูที่ไม่มีซัลเฟตต่างๆ มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น และมีความสามารถในการป้องกันแสงยูวี จะได้ไม่ไปทำลายสีที่ทำเอาไว้ ทำให้เราไม่ต้องไปทำสีซ้ำหลายครั้งเกินไปโดยไม่จำเป็นค่ะ
2. เตรียมผมก่อนสระ
ก่อนจะสระผม สาวๆ จะต้องเตรียมเส้นผมและหนังศีรษะให้พร้อมสำหรับการสระทำความสะอาด (และการเติมอาหารให้กับเส้นผมและหนังศีรษะด้วยในเวลาเดียวกัน การเตรียมเส้นผมก็ง่ายมาก เพียงล้างผมด้วยน้ำอุ่น (น้ำอุ่นนะคะ ไม่ใช่น้ำร้อน) สางเอาสิงแปลกปลอมออกไป และใช้หวีซี่ใหญ่ๆ หรือนิ้วมือก็ได้สางผมออกจากกัน และล้างหนังศีรษะด้วยเพื่อให้สัมผัสกับน้ำอุ่นและเป็นการเปิดรูขุมขนบนหนังศีรษะด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วการสระผมเป็นทั้งการสระผมและการสระหนังศีรษะ เพื่อทำให้ทั้งผมและหนังศีรษะมีสุขภาพที่ดี เมื่อหนังศีรษะมีสุขภาพดี เส้นผมก็จะมีสุขภาพดีไปด้วย
3. ใช้แชมพูในปริมาณที่เหมาะสม
การใช้แชมพูน้อยเกินไปก็ทำให้ทำความสะอาดไม่ทั่วถึง ในขณะที่แชมพูที่มากเกินไปก็สร้างฟองจำนวนมากที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรมากไปกว่าการล้างยากและเสียเวลา จริงๆ แล้วสาวๆ ที่ผมยาวมากหน่อยอาจจะใช้แชมพูมากกว่าสาวๆ ที่มีผมยาวในระดับเฉลี่ยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้วิธีการสระผมก็สำคัญ โดยเริ่มที่การสระหนังศีรษะซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องการการสระทำความสะอาดที่มากกว่าบริเวณอื่น จากนั้นก็สระเส้นผม และจบที่ปลายผม แล้วล้างด้วยน้ำเย็นเป็นการปิดรูขุมขนและเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ค่ะ
4. การใช้ครีมปรับสภาพผม
ครีมปรับสภาพผมหรือครีมนวดผมมีประโยชน์กับเส้นผม แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ในปริมาณมากเกินไป และวิธีใช้ที่ถูกต้องคือเริ่มนวดจากปลายผม และนวดไปยังหนังศีรษะ ถ้าสาวๆ เป็นคนผมแห้งและต้องการการซ่อมบำรุง จะต้องหาครีมนวดผมที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเส้นผมเป็นพิเศษ ถ้าสาวๆ เป็นคนที่เส้นผมเล็กบาง และไปใช้ครีมนวดผมที่เพิ่มความชุ่มชื้นมากๆ จะทำให้เส้นผมหนักและลีบแฟบติดกับศีรษะ ดังนั้นจะต้องเลือกใช้ครีมนวดผมเหล่านี้ให้ถูกต้องเช่นกัน
5. ระวังผมเปียกให้ดี
เพื่อนๆ อาจจะคิดในใจว่า อ้าว ก็เราพูดถึงเรื่องการสระผม แล้วจะต้องระวังผมเปียกทำไมกันล่ะ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ แต่อยากจะบอกว่าในขณะที่เส้นผมของเราเปียกอยู่นั้น จะมีความแข็งแรงลดลงมาก ดังนั้นหลังการสระผม อย่าสะบัดเส้นผมราวกับว่ามันเป็นผ้าขนหนูเปียกๆ และควรหลีกเลี่ยงการหวีด้วยหวีที่มีซี่ถี่ ซึ่งจะทำให้เส้นผมเสียหยายได้มาก ให้ใช้นิ้วมือของเราทำตัวเป็นหวี แล้วรูดให้เส้นผมแยกจากกันเพื่อทำให้ถูกอากาศได้ดีขึ้น รอให้ผมแห้งด้วยอากาศปกติเสียก่อนที่จะเริ่มจัดทรงด้วยความร้อนค่ะ
เส้นผมของเรานั้นแตกต่างกันในแต่ละคน สิ่งแรกที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือลักษณะของเส้นผมว่าเป็นผมแห้ง หรือเป็นคนผมมัน ต่อจากนั้นก็คือสภาพของเส้นผมว่าได้รับการทำสี ดัด ย้อม มาหรือไม่แค่ไหน การเลือกแชมพูจะต้องเลือกให้เหมาะกับเส้นผมของเราว่าผมแห้งหรือมัน หรือแตกปลายต้องการการบำรุง ถ้าเราทำสีผมมาก็จะต้องเลือกแชมพูที่ไม่มีซัลเฟตต่างๆ มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น และมีความสามารถในการป้องกันแสงยูวี จะได้ไม่ไปทำลายสีที่ทำเอาไว้ ทำให้เราไม่ต้องไปทำสีซ้ำหลายครั้งเกินไปโดยไม่จำเป็นค่ะ
2. เตรียมผมก่อนสระ
ก่อนจะสระผม สาวๆ จะต้องเตรียมเส้นผมและหนังศีรษะให้พร้อมสำหรับการสระทำความสะอาด (และการเติมอาหารให้กับเส้นผมและหนังศีรษะด้วยในเวลาเดียวกัน การเตรียมเส้นผมก็ง่ายมาก เพียงล้างผมด้วยน้ำอุ่น (น้ำอุ่นนะคะ ไม่ใช่น้ำร้อน) สางเอาสิงแปลกปลอมออกไป และใช้หวีซี่ใหญ่ๆ หรือนิ้วมือก็ได้สางผมออกจากกัน และล้างหนังศีรษะด้วยเพื่อให้สัมผัสกับน้ำอุ่นและเป็นการเปิดรูขุมขนบนหนังศีรษะด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วการสระผมเป็นทั้งการสระผมและการสระหนังศีรษะ เพื่อทำให้ทั้งผมและหนังศีรษะมีสุขภาพที่ดี เมื่อหนังศีรษะมีสุขภาพดี เส้นผมก็จะมีสุขภาพดีไปด้วย
3. ใช้แชมพูในปริมาณที่เหมาะสม
การใช้แชมพูน้อยเกินไปก็ทำให้ทำความสะอาดไม่ทั่วถึง ในขณะที่แชมพูที่มากเกินไปก็สร้างฟองจำนวนมากที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรมากไปกว่าการล้างยากและเสียเวลา จริงๆ แล้วสาวๆ ที่ผมยาวมากหน่อยอาจจะใช้แชมพูมากกว่าสาวๆ ที่มีผมยาวในระดับเฉลี่ยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้วิธีการสระผมก็สำคัญ โดยเริ่มที่การสระหนังศีรษะซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องการการสระทำความสะอาดที่มากกว่าบริเวณอื่น จากนั้นก็สระเส้นผม และจบที่ปลายผม แล้วล้างด้วยน้ำเย็นเป็นการปิดรูขุมขนและเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ค่ะ
4. การใช้ครีมปรับสภาพผม
ครีมปรับสภาพผมหรือครีมนวดผมมีประโยชน์กับเส้นผม แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ในปริมาณมากเกินไป และวิธีใช้ที่ถูกต้องคือเริ่มนวดจากปลายผม และนวดไปยังหนังศีรษะ ถ้าสาวๆ เป็นคนผมแห้งและต้องการการซ่อมบำรุง จะต้องหาครีมนวดผมที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเส้นผมเป็นพิเศษ ถ้าสาวๆ เป็นคนที่เส้นผมเล็กบาง และไปใช้ครีมนวดผมที่เพิ่มความชุ่มชื้นมากๆ จะทำให้เส้นผมหนักและลีบแฟบติดกับศีรษะ ดังนั้นจะต้องเลือกใช้ครีมนวดผมเหล่านี้ให้ถูกต้องเช่นกัน
5. ระวังผมเปียกให้ดี
เพื่อนๆ อาจจะคิดในใจว่า อ้าว ก็เราพูดถึงเรื่องการสระผม แล้วจะต้องระวังผมเปียกทำไมกันล่ะ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ แต่อยากจะบอกว่าในขณะที่เส้นผมของเราเปียกอยู่นั้น จะมีความแข็งแรงลดลงมาก ดังนั้นหลังการสระผม อย่าสะบัดเส้นผมราวกับว่ามันเป็นผ้าขนหนูเปียกๆ และควรหลีกเลี่ยงการหวีด้วยหวีที่มีซี่ถี่ ซึ่งจะทำให้เส้นผมเสียหยายได้มาก ให้ใช้นิ้วมือของเราทำตัวเป็นหวี แล้วรูดให้เส้นผมแยกจากกันเพื่อทำให้ถูกอากาศได้ดีขึ้น รอให้ผมแห้งด้วยอากาศปกติเสียก่อนที่จะเริ่มจัดทรงด้วยความร้อนค่ะ
เส้นผมสวยๆ นั้น ไม่ได้มาด้วยธรรมชาติล้วนๆ นะคะ แต่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ด้วย ดังนั้นหากสาวๆ มีเส้นผมที่สวย ก็จะต้องบำรุงให้ดีต่อไป อย่าปล่อยให้เสียหายด้วยความไม่รู้เลยค่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558
การล้างหน้าตามแนวขนการล้างหน้าที่ถูกต้องนั้น เป็นวิธีที่ช่วยรักษาสิว ลดการเกิดสิวที่ดีเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย และหนึ่งในวิธีการล้างหน้าลดสิวที่ถูกต้องนั้นก็คือ "การล้างหน้าตามแนวโพรงขน" เป็นวิธีการล้างหน้าที่ได้รับความนิยมสูง เพราะเป็นการล้างหน้าที่คนส่วนใหญ่เอาไปลองใช้แล้วต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "รู้อย่างนี้ล้างหน้าแบบนี้มาตั้งนานแล้ว"
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์จากการล้างหน้าตามแนวโพรงขนแบบเต็มๆเช่นกัน เหตุเกิดเมื่อ 1 ปีก่อน ในขณะที่ผมกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาสิวตามปกติ ผมได้บังเอิญไปเจอข้อมูลเกี่ยวกับการล้างหน้าตามแนวโพรงขนเข้า ลองอ่านวิธีล้างดูก็รู้สึกว่าน่าสนใจ เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ไม่มีพิษมีภัยหรือผลข้างเคียงใดๆเพราะมันเป็นเพียงการปรับวิธีการล้างหน้าเท่านั้น ผมก็เลยลองทำดู ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ผมก็ยังคงล้างตามแนวโพรงขนอยู่เหมือนเดิม ทำจนเป็นนิสัยโดยไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่า วิธีการล้างหน้าตามแนวโพรงขนนี้จะมีส่วนช่วยให้สิวหายได้จริง
จนเมื่อวานก็นั่งเปิดเว็บดูไปเรื่อยๆ เว็บนู้นที เว็บนี้ที แล้วบังเอิญไปเจอะเรื่องการล้างหน้าตามแนวโพรงขนเข้า ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า เอ.... หรือว่า การที่สิวบนหน้าของเราหายก็มาจากการที่เราเปลี่ยนวิธีการล้างหน้าในครั้งนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยคิดว่าในเมื่อการล้างหน้าตามแนวโพรงขนมันดีขนาดนี้ ก็เลยอยากเอามาแชร์ให้กับผู้อ่านทุกๆคนได้ลองอ่านกัน เผื่อใครที่ยังไม่รู้จักวิธีการล้างหน้าแบบนี้ และยังไม่เคยลองล้างหน้าตามแนวโพรงขนมาก่อนเลยได้ลองล้างดูสักครั้ง ก่อนอื่นมาดูที่มาและประวัติของการล้างหน้าตามแนวโพรงขนแบบคร่าวๆว่าคืออะไร แล้วใครเป็นผู้คิดค้นขึ้น
การล้างหน้าตามแนวโพรงขนนี้เป็นแนวคิดของ นพ.สมนึก อมรสิริพาณิชย์ ซึ่งเป็นวิธีการล้างหน้าอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยมีแนวความคิดที่ว่า ใต้ผิวของเรานั้นจะประกอบไปด้วยโพรงขนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยโพรงขนนี้มีส่วนสำคัญในการเป็นแนวหรือแกนเพื่อให้เส้นใยคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญให้ผิวของเรายึดเกาะ นั่นหมายถึงว่าเวลาที่เราล้างหน้า หรือกำลังถูสบู่อยู่บนหน้าตามปกติที่เราทำกันคือ ถูแบบวนไปวนมาเรื่อยๆ หรือถูแบบไม่มีรูปแบบตายตัว ถูแบบฟรีสไตล์ ก็จะทำให้เนื้อเยื่อที่อยู่ด้านบนแนวโพรงขน มันถูกขยุ้มตัวให้เป็นกระจุกๆ ทำให้สิ่งสกปรกมันหลุดออกไปไม่ดีเท่าทีควร และอาจเป็นสาเหตุของริ้วรอยอื่นๆบนหน้าของเราได้อีกด้วย
ดังนั้นถ้าเราต้องการให้สิ่งสกปรกบนหน้าของเราหลุดออกไปโดยที่ไม่ทำให้หน้าเกิดริ้วรอยโดยไม่จำเป็น เราก็ควรล้างหน้าตามแนวโพรงขนอย่างเบามือนั่นเอง เมื่อรู้อย่างนี้แล้วทีนี้เรามาดูวิธีการล้างหน้าตามแนวโพรงขนกันดีกว่าว่าต้องล้างอย่างไรกันบ้าง
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์จากการล้างหน้าตามแนวโพรงขนแบบเต็มๆเช่นกัน เหตุเกิดเมื่อ 1 ปีก่อน ในขณะที่ผมกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาสิวตามปกติ ผมได้บังเอิญไปเจอข้อมูลเกี่ยวกับการล้างหน้าตามแนวโพรงขนเข้า ลองอ่านวิธีล้างดูก็รู้สึกว่าน่าสนใจ เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ไม่มีพิษมีภัยหรือผลข้างเคียงใดๆเพราะมันเป็นเพียงการปรับวิธีการล้างหน้าเท่านั้น ผมก็เลยลองทำดู ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ผมก็ยังคงล้างตามแนวโพรงขนอยู่เหมือนเดิม ทำจนเป็นนิสัยโดยไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่า วิธีการล้างหน้าตามแนวโพรงขนนี้จะมีส่วนช่วยให้สิวหายได้จริง
จนเมื่อวานก็นั่งเปิดเว็บดูไปเรื่อยๆ เว็บนู้นที เว็บนี้ที แล้วบังเอิญไปเจอะเรื่องการล้างหน้าตามแนวโพรงขนเข้า ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า เอ.... หรือว่า การที่สิวบนหน้าของเราหายก็มาจากการที่เราเปลี่ยนวิธีการล้างหน้าในครั้งนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยคิดว่าในเมื่อการล้างหน้าตามแนวโพรงขนมันดีขนาดนี้ ก็เลยอยากเอามาแชร์ให้กับผู้อ่านทุกๆคนได้ลองอ่านกัน เผื่อใครที่ยังไม่รู้จักวิธีการล้างหน้าแบบนี้ และยังไม่เคยลองล้างหน้าตามแนวโพรงขนมาก่อนเลยได้ลองล้างดูสักครั้ง ก่อนอื่นมาดูที่มาและประวัติของการล้างหน้าตามแนวโพรงขนแบบคร่าวๆว่าคืออะไร แล้วใครเป็นผู้คิดค้นขึ้น
การล้างหน้าตามแนวโพรงขน คือ อะไร?
การล้างหน้าตามแนวโพรงขนนี้เป็นแนวคิดของ นพ.สมนึก อมรสิริพาณิชย์ ซึ่งเป็นวิธีการล้างหน้าอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยมีแนวความคิดที่ว่า ใต้ผิวของเรานั้นจะประกอบไปด้วยโพรงขนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยโพรงขนนี้มีส่วนสำคัญในการเป็นแนวหรือแกนเพื่อให้เส้นใยคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญให้ผิวของเรายึดเกาะ นั่นหมายถึงว่าเวลาที่เราล้างหน้า หรือกำลังถูสบู่อยู่บนหน้าตามปกติที่เราทำกันคือ ถูแบบวนไปวนมาเรื่อยๆ หรือถูแบบไม่มีรูปแบบตายตัว ถูแบบฟรีสไตล์ ก็จะทำให้เนื้อเยื่อที่อยู่ด้านบนแนวโพรงขน มันถูกขยุ้มตัวให้เป็นกระจุกๆ ทำให้สิ่งสกปรกมันหลุดออกไปไม่ดีเท่าทีควร และอาจเป็นสาเหตุของริ้วรอยอื่นๆบนหน้าของเราได้อีกด้วย
ดังนั้นถ้าเราต้องการให้สิ่งสกปรกบนหน้าของเราหลุดออกไปโดยที่ไม่ทำให้หน้าเกิดริ้วรอยโดยไม่จำเป็น เราก็ควรล้างหน้าตามแนวโพรงขนอย่างเบามือนั่นเอง เมื่อรู้อย่างนี้แล้วทีนี้เรามาดูวิธีการล้างหน้าตามแนวโพรงขนกันดีกว่าว่าต้องล้างอย่างไรกันบ้าง
วิธีการล้างหน้าล้างหน้าตามแนวโพรงขน
- วิธีการล้างหน้าตามแนวโพรงขนนั้นง่ายมากๆ เริ่มจากการเทโฟมหรือสบู่ล้างหน้าลงบนฝ่ามือ จากนั้นผสมน้ำเล็กน้อยขยี้ด้วยมือทั้ง 2 ข้างเพื่อลดความเข้มข้นของสารเคมีลง แล้วก็เอาผ่ามือทั้ง 2 ข้างลูบโฟมล้างหน้าให้ทั่วหน้า
- จากนั้นให้ใช้ปลายนิ้วของมือทั้ง 2 ข้างลูบไปตามทิศทางของลูกศรตามรูปข้างบน โดยไล่มาตั้งแต่หน้าผาก ลูบให้ออกมาทางด้านข้างของศรีษะทั้ง 2 ข้าง โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่กลางหน้าผาก
- จากนั้นก็ไล่ลงมาที่จมูกลูบลงมาตั้งแต่บริเวณหัวตา มาที่ดั้ง ปลายขมูก และบริเวณด้านบนของปาก
- จากนั้นลูบบริเวณแก้ม โหนกแก้ม โดยลูบออกทางด้านข้างตามลูกศร ไล่ให้ทั่วบริเวณ โดยถูเป็นทิศทางเดียวกันตลอด อย่าไปถูสวนขึ้นไปเด็ดขาด
- สุดท้ายก็ถูบริเวณคางเป็นแนวดิ่งลง จากนั้นก็ล้างโฟมล้างหน้าออกกด้วยน้ำเปล่า เป็นอันเสร็จพิธี
วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558
ขั้นตอน และ เทคนิค การแต่งหน้า อย่างถูกวิธี
เริ่มต้นจากการล้างหน้าให้สะอาด ถึงแม้ว่าจะเป็นการล้างหน้าตอนเช้า เราก็ต้องใส่ใจ
จริงอยู่ว่าเราอาจจะไม่มีเครื่องสำอางบนใบหน้า แต่เรายังมีครีมบำรุงที่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้
และเซลล์ผิวเก่าที่ร่างกายของเราได้ผลัดเปลี่ยนขณะนอนหลับ ดังนั้น การล้างหน้าให้สะอาดในตอนเช้า
จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้หญิงเราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย และต่อมาคือ การบำรุงผิวด้วยมอยซ์เจอร์ไรเซอร์
รวมทั้งการปกป้องใบหน้าจากแสงแดด ด้วยการใช้ซันบล๊อค และเริ่มเมคอัพกันได้เลยค่ะ
1. ลงคอนซีลเลอร์
เพื่อปกปิดริ้วรอยหมองคล้ำรอบดวงตา ทำให้ใบหน้าดูสว่างขึ้น ด้วยการใช้ปลายนิ้วแตะคอนซีลเลอร์ใต้ตา แล้วค่อยๆเกลี่ยให้ชิดขนตาล่าง ให้ยาวตลอดจากหัวตาถึงปลายตา เพื่อให้เกิดความกลมกลื่น
หากคุณเป็นสาวผิวขาว ควรที่จะเลือกคอนซีลเลอร์โทนเหลืองที่ดูสว่าง แต่ถ้าหากคุณเป็นสาวผิวคล้ำ
หรือรอบตาคล้ำมาก เลือกคอนซีลเลอร์ที่ออกชมพูเล็กน้อยค่ะ2. รองพื้น
มีอยู่มากมายหลายชนิด ตั้งแต่ครีม น้ำ เจล น้ำมันและแท่ง คุณควรจะเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว เช่น
ผิวมันเลือกชนิดบางเบา ในรูปของเจลหรือน้ำ หากผิวแห้งมาก ก็อาจจะเลือกใช้รองพื้นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือถ้าหากว่าผิวหน้าเป็นสิว ก็ควรเลือกรองพื้นชนิด Oil Free3. แป้ง
มีทั้งแป้งฝุ่น แป้งพัฟฟ์และแป้งรองพื้น แป้งที่มีเนื้อบางเบาที่สุดก็คือ แป้งฝุ่น แต่หากว่าคุณต้องการใช้แป้งในการแต่งเติมและพกพาสะดวก ก็ควรใช้แป้งพัฟฟ์เอาติดกระเป๋าไว้ ส่วนแป้งรองพื้นนับว่าเป็นแป้งที่สะดวกใช้เช่นกัน แต่มีจุดด้อยที่แป้งรองพื้นจะมีเนื้อหนา
จะทำให้แต่งหน้าได้ลำบาก เพราะอาจจะดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควร4. แต่งคิ้วให้ได้รูป
ด้วยการเขียนคิ้วให้เป็นรูป จากนั้นใช้แปรงปัดขนคิ้ว ปัดให้ขนตั้งเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ
และถ้าอยากให้ขนคิ้วอยู่คงรูป ก็อาจจะใช้ปลายนิ้วแตะปิโตรเลี่ยมเจลลี่เบาๆแล้วไล้ที่ขนคิ้วให้อยู่คงรูปเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ5. อายแชโดว์
แต่งแต้มเปลือกตา สาวๆรุ่นเล็กอาจจะดูสวยได้แค่ปัดเปลือกตาด้วยสีอ่อนๆ แต่หากต้องการให้เปลือกตาสวยอย่างครบถ้วนและดูดีมีมิติแล้ว ก็ควรจะเลือกแต่งเปลือกตา
ด้วยอายแชโดว์ 3 สี ที่มักจะถูกจับเป็นเซตในตลับ โดยใช้สีอ่อนสุดไล้ให้ทั่วเปลือกตา ด้วยแปรงสำหรับอายแชโดว์โดยเฉพาะ จากนั้นใช้อายแชโดว์สีที่สอง
ที่มีความเข้มปานกลาง ทาเปลือกตาช่วงรอยพับ หรือเวลาที่เราหลับตา
แล้วตานูนออกมานั่นล่ะ ทาให้ทั่วจนถึงขอบขนตา จากนั้นค่อยลงสีที่สาม ที่มีความเข้มมากกว่าสีอื่น
ใช้ปลายของฟองน้ำที่มีในตลับ เขียนเป็นเส้นให้ติดขอบขนตา6. อายไลเนอร์
ขั้นตอนนี้อาจจะไม่จำเป็น หากคุณต้องการให้การแต่งหน้าของคุณดูเป็นธรรมชาติ การเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ให้ดูสวยงามก็คือ เขียนให้ชิดกับขอบขนตาและ
อาจจะเขียนเฉพาะขอบตาบนก็ได้ ถ้าหากไม่แน่ใจว่ามือของคุณนั้นแม่นพอ7. ดัดขนตาและปัดมาสคาร่า
การปัดมาสคาร่าให้ขนตาดูสวย งอนงามเป็นแผงนั้นควรจะทำควบคู่ไปกับการดัดขนตา และควรจะเลือกมาสคาร่าชนิดกันน้ำ เพื่อจะได้ไม่เลอะเทอะ หรือจะเลือกมาสคาร่าชนิดใสก็ได้ หากต้องการให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
8. บลัชออน
เช่นเดียวกับอายแชโดว์ บลัชออนมีทั้งชนิดฝุ่น ครีมหรือน้ำ วิธีการทาบลัชออนให้สวยก็คือ ควรจะยิ้มเต็มที่เวลาที่ทา แล้วลงมือแต้มบลัชออนตรงพวงแก้มที่เปล่งที่สุด แล้วไล้เฉียงสูงขึ้นไปเล็กน้อยจนจรดตีนผม และหากคุณเลือกใช้บลัชอนชนิดฝุ่นก็ควรจะใช้คู่กับแปรงปัดแก้มปลายกลมค่อนข้างใหญ่ จะปัดได้ดูสวยงามกลมกลืนกว่าแปรงปัดแก้มอันเล็กที่มาคู่กับบลัชออนในตลับ
9. เขียนขอบปาก
สีดินสอเขียนขอบปากควรจะเป็นสีที่เข้ากันได้ดีกับสีลิปสติก การเขียนขอบปากจะทำให้ทาลิปสติกได้สวยขึ้นเพราะริมฝีปากจะดูได้รูปมากขึ้น หรือถ้าหาดินสอเขียนขอบปากมีสีเข้ากันกับลิปสติกไม่ได้ ก็ควรจะเลือกใช้ดินสอเขียนขอบปากที่มีสีใกล้เคียงกับริมฝีปากของคุณที่สุด
เพื่อความกลมกลืนไม่หลอกตา
10. ลิปสติก
เพื่อให้ได้ผลดี ควรทาลิปสติกด้วยพู่กันมากกว่าการใช้แท่งลิปสติกทาลงบนริมฝีปากเลย เพราะการใช้พู่กันจะทำให้สีของลิปสติกกลืนเข้ากับริมฝีปากได้ดีขึ้น เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น เมื่อทาแล้วจึงค่อยเพิ่มความมันวาวด้วยลิปกลอส หากต้องการให้ปากแลดูชุ่มฉ่ำ แต่ก็ควรระวังไม่ให้มากหรือหนักมือเกินไป เดี๋ยวจะกลายเป็นปากมันเยิ้มแทน
จริงอยู่ว่าเราอาจจะไม่มีเครื่องสำอางบนใบหน้า แต่เรายังมีครีมบำรุงที่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้
และเซลล์ผิวเก่าที่ร่างกายของเราได้ผลัดเปลี่ยนขณะนอนหลับ ดังนั้น การล้างหน้าให้สะอาดในตอนเช้า
จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้หญิงเราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย และต่อมาคือ การบำรุงผิวด้วยมอยซ์เจอร์ไรเซอร์
รวมทั้งการปกป้องใบหน้าจากแสงแดด ด้วยการใช้ซันบล๊อค และเริ่มเมคอัพกันได้เลยค่ะ
1. ลงคอนซีลเลอร์
เพื่อปกปิดริ้วรอยหมองคล้ำรอบดวงตา ทำให้ใบหน้าดูสว่างขึ้น ด้วยการใช้ปลายนิ้วแตะคอนซีลเลอร์ใต้ตา แล้วค่อยๆเกลี่ยให้ชิดขนตาล่าง ให้ยาวตลอดจากหัวตาถึงปลายตา เพื่อให้เกิดความกลมกลื่น
หากคุณเป็นสาวผิวขาว ควรที่จะเลือกคอนซีลเลอร์โทนเหลืองที่ดูสว่าง แต่ถ้าหากคุณเป็นสาวผิวคล้ำ
หรือรอบตาคล้ำมาก เลือกคอนซีลเลอร์ที่ออกชมพูเล็กน้อยค่ะ2. รองพื้น
มีอยู่มากมายหลายชนิด ตั้งแต่ครีม น้ำ เจล น้ำมันและแท่ง คุณควรจะเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว เช่น
ผิวมันเลือกชนิดบางเบา ในรูปของเจลหรือน้ำ หากผิวแห้งมาก ก็อาจจะเลือกใช้รองพื้นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือถ้าหากว่าผิวหน้าเป็นสิว ก็ควรเลือกรองพื้นชนิด Oil Free3. แป้ง
มีทั้งแป้งฝุ่น แป้งพัฟฟ์และแป้งรองพื้น แป้งที่มีเนื้อบางเบาที่สุดก็คือ แป้งฝุ่น แต่หากว่าคุณต้องการใช้แป้งในการแต่งเติมและพกพาสะดวก ก็ควรใช้แป้งพัฟฟ์เอาติดกระเป๋าไว้ ส่วนแป้งรองพื้นนับว่าเป็นแป้งที่สะดวกใช้เช่นกัน แต่มีจุดด้อยที่แป้งรองพื้นจะมีเนื้อหนา
จะทำให้แต่งหน้าได้ลำบาก เพราะอาจจะดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควร4. แต่งคิ้วให้ได้รูป
ด้วยการเขียนคิ้วให้เป็นรูป จากนั้นใช้แปรงปัดขนคิ้ว ปัดให้ขนตั้งเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ
และถ้าอยากให้ขนคิ้วอยู่คงรูป ก็อาจจะใช้ปลายนิ้วแตะปิโตรเลี่ยมเจลลี่เบาๆแล้วไล้ที่ขนคิ้วให้อยู่คงรูปเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ5. อายแชโดว์
แต่งแต้มเปลือกตา สาวๆรุ่นเล็กอาจจะดูสวยได้แค่ปัดเปลือกตาด้วยสีอ่อนๆ แต่หากต้องการให้เปลือกตาสวยอย่างครบถ้วนและดูดีมีมิติแล้ว ก็ควรจะเลือกแต่งเปลือกตา
ด้วยอายแชโดว์ 3 สี ที่มักจะถูกจับเป็นเซตในตลับ โดยใช้สีอ่อนสุดไล้ให้ทั่วเปลือกตา ด้วยแปรงสำหรับอายแชโดว์โดยเฉพาะ จากนั้นใช้อายแชโดว์สีที่สอง
ที่มีความเข้มปานกลาง ทาเปลือกตาช่วงรอยพับ หรือเวลาที่เราหลับตา
แล้วตานูนออกมานั่นล่ะ ทาให้ทั่วจนถึงขอบขนตา จากนั้นค่อยลงสีที่สาม ที่มีความเข้มมากกว่าสีอื่น
ใช้ปลายของฟองน้ำที่มีในตลับ เขียนเป็นเส้นให้ติดขอบขนตา6. อายไลเนอร์
ขั้นตอนนี้อาจจะไม่จำเป็น หากคุณต้องการให้การแต่งหน้าของคุณดูเป็นธรรมชาติ การเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ให้ดูสวยงามก็คือ เขียนให้ชิดกับขอบขนตาและ
อาจจะเขียนเฉพาะขอบตาบนก็ได้ ถ้าหากไม่แน่ใจว่ามือของคุณนั้นแม่นพอ7. ดัดขนตาและปัดมาสคาร่า
การปัดมาสคาร่าให้ขนตาดูสวย งอนงามเป็นแผงนั้นควรจะทำควบคู่ไปกับการดัดขนตา และควรจะเลือกมาสคาร่าชนิดกันน้ำ เพื่อจะได้ไม่เลอะเทอะ หรือจะเลือกมาสคาร่าชนิดใสก็ได้ หากต้องการให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
8. บลัชออน
เช่นเดียวกับอายแชโดว์ บลัชออนมีทั้งชนิดฝุ่น ครีมหรือน้ำ วิธีการทาบลัชออนให้สวยก็คือ ควรจะยิ้มเต็มที่เวลาที่ทา แล้วลงมือแต้มบลัชออนตรงพวงแก้มที่เปล่งที่สุด แล้วไล้เฉียงสูงขึ้นไปเล็กน้อยจนจรดตีนผม และหากคุณเลือกใช้บลัชอนชนิดฝุ่นก็ควรจะใช้คู่กับแปรงปัดแก้มปลายกลมค่อนข้างใหญ่ จะปัดได้ดูสวยงามกลมกลืนกว่าแปรงปัดแก้มอันเล็กที่มาคู่กับบลัชออนในตลับ
9. เขียนขอบปาก
สีดินสอเขียนขอบปากควรจะเป็นสีที่เข้ากันได้ดีกับสีลิปสติก การเขียนขอบปากจะทำให้ทาลิปสติกได้สวยขึ้นเพราะริมฝีปากจะดูได้รูปมากขึ้น หรือถ้าหาดินสอเขียนขอบปากมีสีเข้ากันกับลิปสติกไม่ได้ ก็ควรจะเลือกใช้ดินสอเขียนขอบปากที่มีสีใกล้เคียงกับริมฝีปากของคุณที่สุด
เพื่อความกลมกลืนไม่หลอกตา
10. ลิปสติก
เพื่อให้ได้ผลดี ควรทาลิปสติกด้วยพู่กันมากกว่าการใช้แท่งลิปสติกทาลงบนริมฝีปากเลย เพราะการใช้พู่กันจะทำให้สีของลิปสติกกลืนเข้ากับริมฝีปากได้ดีขึ้น เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น เมื่อทาแล้วจึงค่อยเพิ่มความมันวาวด้วยลิปกลอส หากต้องการให้ปากแลดูชุ่มฉ่ำ แต่ก็ควรระวังไม่ให้มากหรือหนักมือเกินไป เดี๋ยวจะกลายเป็นปากมันเยิ้มแทน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)